หลังจากที่ เอสซีจี เมืองทองฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการปล่อยตัว “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางตัวเก่งของทีมไปให้กับ คอนซาโดล ซัปโปโร น้องใหม่ของ เจ ลีก ในปี 2017 ด้วยรูปแบบของการยืมตัว 1 ปีครึ่ง ซึ่งจะเดินทางไปในช่วงเดือน ก.ค.ปีหน้า เพื่อลงเล่นในเลกสอง
ทำให้ นักเตะยอดเยี่ยม เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 และเป็นแข้งอาเซียนในรอบ 20 ปี ของรายการดังกล่าวที่ทำได้ 2 ปีซ้อน อย่าง “เมสซี่เจ”ชนาธิป สรงกระสินธ์ กลายเป็นแข้งไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่โยกไปเล่นใน เจ ลีก ของญี่ปุ่นได้สำเร็จ
ทว่าก่อนที่ “เมสซี่เจ” จะออกไปตามล่าหาความฝัน เราจะไปดู 17 เรื่องราวของ คอนซาโดล ซัปโปโร ที่พวกแฟนบอลควรจะทราบไว้ล่วงหน้า เพื่อเพิ่มอรรถรในการรับชม ดาวเตะร่างเล็กทีมชาติไทย ไปสร้างปรากฏการณ์เขย่าเวทีแดนอาทิตย์อุทัยกันสักหน่อย
“นนท์นี่คุง”
1. คอนซาโดล ซัปโปโร มีชื่อของสโมสรเต็มๆว่า “ฮอกไกโด คอนซาโดล ซัปโปโร” ซึ่งมาเปลี่ยนมาใช้ชื่อดังกล่าวในวันที่ 1 ก.พ.2016
2. คอนซาโดล ซัปโปโร เคยคว้าแชมป์ เจ ทู มาแล้ว 3 ครั้ง ประกอบด้วย ปี 2000 (มี 11 ทีม), 2007 (มี 13 ทีม) และปี 2016 (ปี 22 ทีม)
3. สีของสโมสรแห่งนี้คือ แดง, ดำ และน้ำเงินเข้ม
4. มัสคอร์ตของสโมสร จะเป็นรูปนกอินทรี ที่สวมเสื้อฟุตบอลสีแดง มีภาษาอันกฤษหน้าอกเป็นตัว C และ S ซึ่งหมายถึง “Consadole Sapporo” โดยมีชื่อว่า “โดเร่-กุน”
5. สถิติของ คอนซาโดล ซัปโปโล ยามเล่นใน เจ ลีก ไม่เคยจบด้วยเลขตัวเดียว หลังจากขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ปี 1998 อันดับ 14 (จาก 18 ทีม), ปี 2001 อันดับ 11 (มี 16 ทีม), อันดับ 16 (มี 16 ทีม), ปี 2008 อันดับ 18 (มี 18 ทีม) และปี 2012 อันดับ 18 (มี 18 ทีม)
6. ทาเคชิ โอกาดะ กุนซือขมังเวทย์ที่เคยพาทีมชาติ ญี่ปุ่น เข้าไปเล่นฟุตบอลโลก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ปี 1998 ตลอดจนเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในเวิลด์ คัพ 2010 เคยกุมบังเหียนคอนซาโดล ซัปโปโร มาแล้วในปี 1999 ก่อนพาทีมจบที่ 5 ใน เจ ทู
7. ชุนเฮ โยโมดะ คือกุนซือคนปัจจุบันของ คอนซาโดล ซัปโปโร มีอายุเพียง 43 ปีเท่านั้น ซึ่งเข้ามารับงานต่อจาก อิวิก้า บาร์บาริค ในเดือน ก.ค.2015 ก่อนที่จะปั้นทีมคว้าแชมป์ เจ ทู ซีซั่น 2016 อีกทั้งยังเคยเป็นสเก้าต์ในทีมชาติญี่ปุ่น ภายใต้การกุมบังเหียนของ ทาเคชิ โอกาดะ อีกด้วย
8. พันธมิตรสโมสรในอาเซียนของ คอนซาโดล ซัปโปโร มีอยู่ 2 ทีม นั่นคือ เกลันตัน จาก มาเลเซีย และ ขอนแก่น เอฟซี ทีมในลีกภูมิภาคของไทย
9. จุนนิชิ อินาโมโตะ กับ ชินจิ โอโนะ คือ 2 แข้งอดีตทีมชาติญี่ปุ่น ที่มีส่วนช่วยให้ คอนซาโดล ซัปโปโล คว้าแชมป์ เจ ทู แถมพกประสบการณ์ในการค้าแข้งต่างแดนในยุโรปมาเพียบ ดูแล้วน่าจะถ่ายทอดชั้นเชิงให้กับ “เมสซี่เจ”ได้เป็นอย่างดี
10. ทาคาฮิโร่ มาซุคาวะ ปราการหลังจอมเก๋าวัย 37 ปี คือ เจ้าของหมายเลข 18 คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นเสื่อที่ “เมสซี่เจ” ใส่อยู่ในการเล่นให้กับทีมชาติไทย และ เอสซีจี เมืองทองฯ
11. เคน โตคุระ คือ ดาวซัลโวสูงสุดของทีมในการพา คอนซาโดล ซัปโปโร ขึ้นมาเล่นใน เจ ลีก ปี 2017 หลังซัดใน เจ ทู เวอร์ชั่น 2016 ไป 19 เม็ด ได้ตำแหน่งรองดาวซัโวไปครอง ส่วนอันดับ 1 ตกเป็นของ จอง แต เซ กองหน้าทีมชาติเกาหลีเหนือ ที่กระหน่ำไป 26 ลูกด้วยกัน
12. ฮิโรกิ มิยาซาว่า คือกัปตันทีมของ คอนซาโดล ซัปโปโร ซึ่งกองกลางตัวรุกรายนี้เคยผ่านการเล่นทีมชาติญี่ปุ่นในชุด ยู-19 ชิงแชมป์เอเชีย มาตั้งแต่รอบคัดเลือก โดยลงเล่นในเกมที่ทีมชาติไทย 3-2 ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง วันที่ 18 พ.ย.2007 ยุคที่ “ช้างศึก” มี เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ นำทัพ แถมทำไป 1 ประตูในรอบสุดท้าย ของรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ ที่ชนะ อิหร่าน 4-2 วันที่ 2 พ.ย.2008
13. เล คอง วินห์ กองหน้ากัปตันทีมชาติเวียดนาม และ อีร์ฟาน บัคดิม จอมทัพอินโดนีเซีย คือ 2 แข้งอาเซียนล่าสุดที่ไปค้าแข้งในทีม ก่อนที่กองกลางหมายเลข 18 ทีมชาติไทย จะไปปรากฏตัวในเดือน ก.ค.2017
14. คอนซาโดล ซัปโปโร คว้าแชมป์ เจ ทู ทะยานขึ้นขั้นสู่ เจ ลีก ได้ในปี 2017 ซึ่งมาพร้อมกับรองแชมป์อย่าง ชิมิสุ เอส-พัลส์ ทีมที่ “เมสซี่เจ”เคยไปทดสอบฝีเท้ามาแล้วในปี 2013 ทำให้โอกาสที่เพลเมกเกอร์ทีมชาติไทย จะเจอกับทีมเก่าในลีกสูงสุดของแดนปลาดิบ ช่วงเลกสองปีหน้า
15. “ซัปโปโร โดม” เป็นสนามเหย้าของ คอนซาโดล ซัปโปโร ซึ่งมีความจุ 4-5 หมื่นที่นั่ง ซึ่งตั้งแต่ที่ทีมมาใช้สนามแห่งนี้ในปี 2001 ปีแรกสามารถสร้างประวัติศาสตร์มีแฟนบอลเยอะที่สุดในการเข้ามาในสนามถึง 22,228 คน
16. อีกทั้งพื้นของสนามซึ่งตัวสนามสามารถสลับชนิดของพื้นได้ระหว่างพื้นหญ้าจริงและพื้นหญ้าเทียม(ใช้เวลาสลับพื้นที่ประมาณ 5 ชั่วโมง) และยังเป็นที่ใช้จัดนิทรรศการ หรือคอนเสิร์ตต่างๆได้ และหลังคาที่เปิด-ปิดกันลมอย่างทันสมัย ตลอดจนยังเป็นสนามเบสบอลของทีมถิ่นอย่าง “ฮอกไกโด นิปปอน แฮม ไฟท์เตอร์” ซึ่งโปรเจคต์ต่อไปจะจัดกีฬาอย่าง เอเชียน วินเธอร์ 2017 และรักบี้ ชิงแชมป์โลก 2019 อีกด้วย
17. สนามซัปโปโร โดม ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในการจัดฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยใช้ไป 3 นัดของรอบแรก ประกอบด้วย วันที่ 1 มิ.ย.2002 เยอรมัน ถล่ม ซาอุดิอาระเบีย 8-0 (กลุ่ม อี), วันที่ 3 มิ.ย.2002 อิตาลี ชนะ เอกวาดอร์ 2-0 (กลุ่ม อี) และวันที่ 7 มิ.ย.2002 อาร์เจนติน่า แพ้ อังกฤษ 0-1 (กลุ่ม เอฟ) โดยเตรียมใช้เป็นสังเวียนลูกหนังใน โอลิมปิก 2020 ซะด้วย
