หลังจากที่ คาร์ลอส ดุงก้า ทำผลงานล้มเหลวสุดๆ ด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโคปา อเมริกา 2016 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีมชาติบราซิลเลยไม่รอช้า รีบเปลี่ยนกุนซือทันที
โดยเป็นเทรนเนอร์ของสโมสรโครินเธียนส์ นามว่า อเดนอร์ ลีโอนาร์โด บัคคี่ หรือ “ติเต้” ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน เพื่อสู้ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ซึ่งเขาประเดิมการคุมทีมชาตินัดแรก ด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ไปได้ 3-0
6 นัดแรกของการคัดเลือกบอลโลก 2018 บราซิล อยู่อันดับที่ 6 ของตาราง อยู่เหนือกว่าอันดับ 7 อย่างปารากวัย ด้วยผลต่างลูกได้เสีย
แต่พอเปลี่ยนเป็นติเต้ ก็สร้างผลงานสุดยอด เก็บ 15 คะแนนเต็ม พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 2 เป็นรองแค่อุรุกวัย และมีแต้มมากกว่าอันดับ 5 อย่างชิลีถึง 7 แต้ม เสียแค่ 1 ประตู เท่านั้น และในนัดล่าสุดที่ระเบิดส้วมอาร์เจนติน่า 3-0 นั้น เป็นการยิง 3 ประตูใส่คู่อริตลอดกาลครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2004 อีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ติเต้ ถูกคาดหมายว่า จะเข้ามานั่งแท่นผู้จัดการทีม แทนที่ของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หลังจากที่บราซิลโดนพวกเยอรมันวินาศกรรม 7-1 คาสนามมิไนโร่ สเตเดี้ยม นั่นทำให้สโคลารี่ต้องแสดงความรับผิดชอบ ลาออกจากตำแหน่ง หลังแมตช์อัปยศอดสูดังกล่าว
แต่ทว่า สมาคมฟุตบอลบราซิล กลับเลือก คาร์ลอส ดุงก้า รีเทิร์นโค้ชแซมบ้าอีกครั้ง หลังจากเคยคุมทีมหนแรกเมื่อปี 2006 แถมยังไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากแฟนๆที่อยากได้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาคุมทีมอีกด้วย
อเดเมียร์ บัคคี่ พี่ชายของ “ติเต้” กล่าวตอนที่สัมภาษณ์ลงในชีวประวัติของน้องชายว่า “เขาโทรมาหาผม แล้วเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขาดูประหลาดใจมากๆ ผมแทบไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย เขาได้รับโทรศัพท์ให้ไปประชุมซึ่งเขาตัดสินใจที่จะไม่ไป เขาพูดว่า ถ้าหากคนกลุ่มนี้ยังทำงานอยู่ ผมจะไม่ไปเด็ดขาด”
อย่างไรก็ดี กุนซือวัย 55 ปีรายนี้ ดูเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมทั้งสำหรับแฟนบอลเซเลเซา และบรรดาสื่อในท้องถิ่น เนื่องจากเขารู้ว่า เขาควรจะสร้างทีมชาติบราซิลขึ้นมาแบบใด ซึ่งเจ้าตัวก็ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างทีมโดยเน้นคุณภาพ มากกว่าความสวยงามในการเล่นอยู่แล้ว
นับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา กุนซือของทีมชาติบราซิลทุกคน ตั้งแต่คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร่า, คาร์ลอส ดุงก้า, มาโน เมเนเซส, หลุยส์ ฟิลิฟเป้ สโคลารี่ และตัวติเต้เอง ต่างเติบโตขึ้นมาในรัฐริโอ แกรนเด้ โด โซล
ซึ่งบรรดาโค้ชดังกล่าวแทบจะทุกคน ต้องผ่านโรงเรียนสอนฟุตบอลแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นเกมรับและเน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ ทำให้พวกเขาดูจะเน้นเกมรับกันเป็นพิเศษ
ติเต้ไม่ใช่โค้ชที่เน้นเกมรับมากมายนัก แต่ขณะเดียวกัน เจ้าตัวก็ไม่ได้สร้างฟุตบอลในสไตล์สวยงาม กลับคืนสู่วิถีฟุตบอลแซมบ้าเช่นเดียวกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บราซิล ภายใต้ยุค “ติเต้” ผลงานดีขึ้นทันตา นั่นก็คือ ติอาโก้ ซิลวา
ซิลวา เป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก ทว่าเขากลับไม่ติดอยู่ในทีมในยุคของดุงก้า เนื่องจากอดีตกุนซือแซมบ้ารายนี้ คิดว่าเจ้าตัวไม่พอใจที่เสียปลอกแขนกัปตันทีม แถมทีมงานของดุงก้าดูจะไม่ถูกชะตากับซิลวาด้วย
แต่พอในยุคของ “ติเต้” ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างทีมที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ปราการหลังจากสโมสรปารีส แซงต์-แชร์กแมง รายนี้ จะสอดแทรกขึ้นมาเป็นขุนพลสำคัญในเกมรับ
ตั้งแต่ที่ ติเต้ เข้ามาคุมบังเหียน “แซมบ้า” ได้แสดงให้เห็นว่า นักเตะของเขาเล่นเป็นทีมเวิร์กมากขึ้น ค่อยๆเปลี่ยนเสียงต่อต้าน เป็นเสียงสนับสนุนมากขึ้น สไตล์การเล่นของนักเตะชุดนี้อาจจะไม่สวยงาม แต่จิตวิญญาณแห่งแซมบ้าจะกลับมาแล้ว
หรือว่า ยุคทองของขุนพล เซเลเซา กำลังจะกลับมา อีกครั้ง ?!?

