ฤดูกาล 2015-16 ถือเป็นฤดูกาลที่แฟนบอลเชลซี อยากจะลืมๆไปซะ กับผลงานอันย่ำแย่ ไม่เหลือสภาพแชมป์เก่าในฤดูกาลก่อนหน้านั้น
มาถึงฤดูกาลนี้ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่หมดหน้าที่กับทีมชาติอิตาลี หลังแพ้เยอรมัน ตกรอบยูโร 2016 ก็อาสาเข้ามารับหน้าที่กอบกู้ “สิงโตน้ำเงินคราม” ให้กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามเหมือนในอดีตอีกครั้ง
การออกสตาร์ตซีซั่น 3 นัดแรก ในเดือนสิงหาคม เก็บ 9 คะแนนเต็ม แต่ 3 แมตช์เดือนกันยายน กลับสะดุดกึก เริ่มจากเสมอสวอนซี 2-2 และแพ้สองนัดติดกับลิเวอร์พูล 1-2, อาร์เซนอล 0-3 เก็บได้แค่ 1 คะแนน และเสียไปถึง 7 ประตูภายในเดือนเดียว

แสดงให้ถึงเกมรับอันหละหลวม ถูกคู่แข่งยิงอย่างน้อย 2 ประตูเกือบทุกเกม และทำคลีนชีตได้แค่นัดเดียว ตลอด 2 เดือนแรก จนนำมาซึ่งการปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่ของอดีตเทรนเนอร์ยูเวนตุส
ในนัดที่แพ้อาร์เซนอลนั้น คอนเต้เริ่มนำแท็คติก 4-1-4-1 มาใช้กับสิงห์บลูส์ก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังโดนนำ 0-3 ตั้งแต่ครึ่งแรก
เอ็นโกโล ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวตัดเกมคนเดียวของทีม หยุดเมซุต โอซิล, อเล็กซ์ อิโวบี้ และ ธีโอ วัลค็อตต์ ไม่ไหว ทำเอาแผงแบ็กโฟร์ของทีมเจอบททดสอบบ่อยครั้งจนเกิดความผิดพลาด
ในครึ่งหลัง คอนเต้จึงปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบ 3-4-3 (วางปราการหลัง 3 คน) ผลปรากฏว่า พวกเขาหยุดเกมรุกปืนใหญ่แบบอยู่หมัด และไม่เสียประตูเพิ่ม

แม้ว่าสุดท้าย ทีมจะยิงตีตื้นขึ้นมาไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น คุ้มค่ากว่าคะแนนที่เสียไป เมื่อเชลซีค้นพบแท็คติกที่อุดช่องโหว่ของทีมโดยสมบูรณ์ นั่นคือ “จุดเปลี่ยน” สำคัญของสโมสรในฤดูกาลนี้
สิงโตน้ำเงินครามโฉมใหม่ในระบบ 3-4-3 โชว์ฟอร์มดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา คว้าชัยชนะในลีกตลอด 5 นัดหลังสุด ยิงคู่แข่งถึง 16 ประตู และทำสถิติไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว จนทำแต้มขยับขึ้นมาตามหลังจ่าฝูงเพียง 1 คะแนน ในเวลานี้
ระบบการเล่นแผงหลัง 3 คนนั้น ไม่ใช่ระบบการเล่นที่แปลกใหม่สำหรับคอนเต้แต่อย่างใด เพราะเขาเคยประสบความสำเร็จ คว้าถ้วยสคูเด็ตโต้กับยูเวนตุส 3 สมัยซ้อน และนำทีมชาติอิตาลี สอนบอลสเปนชนิดสิ้นลายแชมป์เก่าในศึกยูโร 2016 มาแล้ว
แน่นอนว่า การใช้แผนการเล่น 3-4-3 ด้วยเหตุผลแรกคือ “เกมรับ” แต่กลายเป็นว่า ส่งผลดีต่อแดนกลางและแนวรุกไปด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ

แนวรับ ดาวิด ลุยซ์ และ แกรี่ เคฮิลล์ ที่เคยเป็นบ่อน้ำมัน ในแผนการเล่นที่ใช้คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ กลายเป็นกองหลังสุดแข็งแกร่งและเล่นผิดพลาดน้อยมาก โดยการขยับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่มีความนิ่งและขยันเข้ามาร่วมประสานงานในแนวรับจนผลงานออกมาดีอย่างที่เห็น
อีกทั้งมาร์กอส อลอนโซ่ กับ วิคเตอร์ โมเซส วิงแบ็กฝั่งซ้าย-ขวา ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กัน นี่ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ของสโมสรอีกด้วย
ขยับไปที่แดนกลาง เนมันย่า มาติช กับ เอ็นโกโล ก็องเต้ ทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งคู่สอดประสานกันอย่างลงตัวจนเกมตรงกลางของทีมแน่นขึ้นทันตา พวกเขาไม่เพียงแค่คอยเล่นเกมรับตัดเกมตรงกลางสนามเท่านั้น แต่ยังคอยหาโอกาสเติมเกมรุกเมื่อคู่แข่งเปิดช่องว่างด้วย

เกมรุก เอเด็น อาซาร์ และ เปโดร โรดริเกวซ มีอิสระในการเล่นเกมรุกอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพะวงเกมรับเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ผลดีก็ไปตกอยู่ที่ ดิเอโก้ คอสต้า ดาวยิงประจำทีมด้วย เขาสามารถผลิตสกอร์เป็นกอบเป็นกำจากโอกาสเข้าทำที่มีมากขึ้น
รหัส(ไม่)ลับ 3-4-3 ของอันโตนิโอ คอนเต้ ช่วยให้นักเตะในทีมโชว์ฟอร์มดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ผู้เล่นหลายคนที่ฟอร์มตกไปนาน กลับมาเล่นได้ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น อาซาร์, คอสต้า หรือแม้แต่วิคเตอร์ โมเซส
อันโตนิโอ คอนเต้ ได้รับผลตอบแทนในความกล้าหาญจากการการเปลี่ยนแท็คติกแล้ว มันไม่เพียงแค่ช่วยลบจุดอ่อนในเกมรับ แต่มันยังช่วยเพิ่มจุดแข็งในเกมรุกในเวลาเดียวกัน จนทำเชลซีผลงานได้อย่างไร้เทียมทานในเวลานี้

จากทีมที่เกมรับหละหลวมพร้อมโดนคู่แข่งยิงประตูทุกเมื่อ แท็คติคของคอนเต้สร้างให้สิงห์บลูส์ กลายเป็นทีมที่ไร้ช่องโหว่แทบทุกตำแหน่งในทีม
แผนการเล่น 3-4-3 จึงเปรียบเสมือนกุญแจปลดปล่อยสิงโตน้ำเงินครามให้หลุดพ้นจากพันธนาการ และกลับมาเป็นทีมที่พร้อมไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง
น่าเสียดาย ที่ความร้อนแรงของเชลซี ต้องถูกหยุดพักชั่วคราว 1 สัปดาห์ เนื่องจากในสุดสัปดาห์นี้ จะเป็นโปรแกรมทีมชาติ “ฟีฟ่า เดย์” มาคั่นเสียก่อน
น่าติดตามนะครับว่า หลังจากโปรแกรมทีมชาติในสัปดาห์นี้แล้ว ผลงานของเชลซี จะยังร้อนแรงแบบนี้ต่อไปหรือไม่ แฟนๆสิงห์บลูส์คงต้องเอาใจช่วยอย่างเต็มที่ครับ

