หลังจากที่ประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นความคาดหวังที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับขุนพลช้างศึก “ทีมชาติไทย” ในยุคของ “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ขณะนี้ หลังจากที่เกมรอบชิงชนะเลิศ นัดแรกในเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ บุกไปแพ้ “พญาครุฑ” ทีมชาติอินโดนีเซีย 1-2
หลายๆคนคงเกิดคำถามที่สร้างความกดดันให้กับทีมชาติไทยอีกครั้ง หรือประเภทเซียนหลังเกมที่เห็นมากมาย ไม่ว่าทำไมซิโก้ใช้แผนหลัง 4 คน? ทำไมไม่ใช้หลัง 3 คน? หรือทำไมไม่ให้ “กัปตันมุ้ย-ธีรศิลป์ แดงดา” เป็นกองหน้าคนเดียว? ทำไมเอานักเตะคนนี้ลงเพราะดูในสนามไม่เห็นทำอะไรได้เลย? นู่นนี่นั่นมากมาย
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการที่คาดหวังว่าทีมไทยจะต้องชนะรวดเพื่อคว้าแชมป์รายการนี้สมัยที่ 5 สร้างสถิติเป็นแชมป์มากที่สุดเพียงชาติเดียว (ตอนนี้ 4 สมัยเท่ากับ “ทีมชาติสิงค์โปร์”)

อย่าลืมว่านี้คือ “กีฬา” นะครับ มีชนะก็ต้องมีแพ้ เรื่องธรรมดา เพราะขนาดในพรีเมียร์ลีก ล่าสุด “อาร์เซน่อล” ที่เหนือกว่า “เอฟเวอร์ตัน” ยังแพ้ 1-2 ได้เลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ลูกทีมของ “อาร์แซน เวงเกอร์”ชนะมา 3 นัดรวด ขณะที่ขุนพลทอฟฟี่ไม่ชนะใครมา 5 นัดแล้ว (แพ้ 3 เสมอ 2) ก่อนเกมนี้
กลับมาเรื่องของทีมชาติไทย อย่างที่เคยบอกไว้ว่า แฟนฟุตบอลบางคนเสพติดความสำเร็จของทีม ตั้งแต่อดีตกองหน้าเบอร์ 13 จอมตีลังกาเข้ามาคุมทีม เพราะก่อนที่ซิโก้จะเข้ามา ไทยตกรอบแรกฟุตบอลซีเกมส์ 2 สมัยติด ห่างหายจากฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” มาตั้งแต่ปี 2002 (ก่อนมาได้แชมป์อีกครั้งปี 2014) ไม่นับการได้อันดับ 4 ในฟุตบอลชายเอเชี่ยนส์ เกมส์ ที่เกาหลีใต้ปีที่แล้วอีก
มาถึงตรงนี้ ด้วยผลงานเพียงอย่างเดียว ซิโก้คือโค้ชชาวไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงขุนพลช้างศึก ทีมชาติไทย ในนัดที่ 2 ที่บ้านเราวันเสาร์นี้คงหนีไม่พ้น“ความกดดัน” ของตัวเอง เพราะเชื่อว่า “อัลเฟรด รีเดิ้ล” กุนซือของทีมอิเหนา สั่งนักเตะเอารถบัสมาขวางประตูอย่างแน่นอน ในสถานการณ์ที่ต้องยิงประตูให้ได้อย่างน้อย 1 ประตูและรอเล่นเกมสวนกลับ
นอกจากนั้น ยังเรื่องของลูกบอมบ์กลางอากาศที่น่ากลัว เพราะต้องอย่าลืมว่า 3 จาก 4 ประตูที่เราเสียให้อินโดฯมาจากลูกโยนเข้ามาทั้งสิ้น (2 ลูกในรอบแรก และ 1 ลูกในเกมล่าสุดที่เป็นจังหวะเตะมุมเข้ามา) ซึ่งการเล่นลูกกลางอากาศเป็นของแสลงของนักเตะไทยอยู่แล้ว

ฟุตบอลเอฟเอเอฟ ซูซูกิ คัพ ในนัดสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงวันพรุ่งนี้ จะเป็นเกมที่สนุกและเร้าอารมณ์แฟนบอลที่เข้ามาชมเกมทั้งในสนามหรือติดตามจากจอตู้ทั่วประเทศอย่างแน่นอน เพราะมีดราม่าในนัดแรกที่เราแพ้ ซึ่งถ้าเราคัมแบ็กกลับมาในนัดที่ 2 เป็นแชมป์ได้ ยังไงก็หอมหวาน ต่างจากนัดแรกถ้าเกิดเราบุกไปชนะอินโดฯ เกมที่สองก็คงไม่สนุกตื่นเต้นเร้าใจแน่
สุดท้าย ความพ่ายแพ้นัดแรกไม่เห็นจะเป็นไร เพราะไทยเองก็ถูกสอนมาในเรื่องของการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยในเกมกีฬาอยู่แล้ว แถมเกมนัดที่ 2 จะได้สนุกตื่นเต้นกว่าเดิม
โดยเฉพาะเวลาเป็น “แชมป์” คงเป็นความรู้สึกที่กระชากอารมณ์ไม่น้อยสำหรับการป้องกันแชมป์ทีมเบอร์ 1 ของภูมิภาคอาเซียนครับ

