ได้คุยกับหลายคน “หลักสิบๆคน” โดยเฉพาะสาวกเยอรมัน ล้วนแล้วแต่บ่นถึงการพลาด “โอกาส” ของเยอรมันในแมตช์เซมิไฟนัลนัดที่ 2 กับฝรั่งเศส หรือไม่ก็การ “ซูเปอร์เซฟ” ของฮูโก้ ญอริส นายด่านเจ้าภาพ เฉพาะอย่างยิ่งช่วง “ท้ายเกม”
เสียงสะท้อนล้วนเป็นว่า “เซฟ” ได้อย่างไร?
ขณะที่ผมย้อนกลับไปถามทุกคนว่า เยอรมันเสียทั้ง 2 ประตูได้อย่างไร?
ครับ ฟุตบอลที่ “ครอบครอง” สถานการณ์ และครองบอลได้เป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่พ้น 10 นาทีแรกของเกม จนถึงไม่กี่วินาทีจะหมดครึ่งแรก
ตามด้วย “ครึ่งหลัง” แทบทั้งครึ่ง จะแพ้ได้อย่างไร?

หากไม่ใช่เพราะ บาสเตียน ชไวสไตเกอร์ ยื่นแขนไปทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษตอนใกล้หมด 45 นาทีแรก จนบีบให้ผู้ตัดสินอิตาลี นิโคล่า ริซโซลี่ ต้องเป่าจุดโทษ
ก่อนจะเสียจุดโทษ เยอรมันเสียคอร์เนอร์แบบไม่ควรเช่นกัน จากบอลโยนมาทางฝั่งซ้ายเลยไปเสาสองแล้ว มานูเอล นอยเออร์ ไม่ได้ส่งเสียงเตือน โยนาส เฮคตอร์ ที่ตัดสินใจเคลียร์ออกเส้นหลังทั้งที่ไม่มีใครกดดัน
โทษเฮคตอร์ไม่ได้ เพราะแบ็คซ้ายจอมบุกไม่ได้มีตาหลัง แต่โทษทัณฑ์การเสียเตะมุมรุนแรงขนาดนำมาซึ่งประตูแรกของเกม และเป็นการสัมผัสบอลสุดท้ายก่อนหมดครึ่งเวลาที่ อองตวน กรีซมันน์ สังหารประตูที่ 5 ของตัวเองได้สำเร็จ
ประตูที่ 2 หลังผ่านเส้นเวลา 70 นาทีก็ไม่ต่างกันเริ่มจาก ชไวนี่ ส่งบอลเข้ากรอบเขตโทษตัวเองจากฝั่งซ้ายให้ เบเนดิก โฮเวเดส ที่ดันตัดสินใจเตะผ่านจุดโทษตัวเองไปให้ โจชัว กิมมิช ซึ่งโดน พอล ป๊อกบา ฉกบอลแล้วหลอกล่อเปิดเข้ากลางสู่กรอบ 6 หลา

นอยเออร์ ปัดพลาดไปเข้าเท้ากรีซมันน์ ทิ่มประตู 2-0 เข้าไปท่ามกลางการตกตะลึงของนักเตะอินทรีเหล็ก
ครับ ตั้งแต่ชไวนี่, โฮเวเดส, กิมมิช และนอยเออร์ ตามด้วยไม่มีใคร “รีแอค” หลังนอยเออร์ปัดออกมารวมแล้ว 5 ความผิดพลาดซ้อนๆกัน
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
นอกนั้นเมื่อรวมกับโอกาส 10 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง และครองบอล 68% ผมจึงมองไม่เห็นว่า เยอรมัน “ผิดพลาด” อะไรยิ่งใหญ่มากกว่า 2 ครั้งที่เสียประตู
ในแมตช์ที่ โยอาคิม เลิฟ พบ “อุปสรรค” พอควร ตั้งแต่ไม่มี มาริโอ โกเมซ, แซมี่ เคห์ดิร่า (บาดเจ็บ) และแมตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ติดโทษแบน
ตามด้วยต้องเสีย เจอโรม บัวเต็ง ต้นครึ่งหลังเพราะบาดเจ็บไปอีก

ตรงข้ามกับ ฝรั่งเศสที่ “พร้อมรบ” ถึงขนาดจับ เอนโกโล่ ก็องเต้ และอดิล รามี่ เป็นตัวสำรองได้อีกนัด โดยให้โอกาส มุสซ่า ซิสโซโก้ และซามูเอล อุมทิตี้ ลงประจำแดนกลางและเซนเตอร์ฮาล์ฟเหมือนเกมถล่มไอซ์แลนด์ 5-2
โดยนอกเหนือจาก “สถิติ” ที่ตัวเลขเป็นรองแล้ว แนวทางการเล่นยังชัดเจนว่า ดิดิเยร์ เดอชองป์ “เน้นรับ” และหวังขโมยประตูเยอรมันโดยใช้ความสามารถในการเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกของลูกทีมอย่าง กรีซมันน์, ดิมิทรี้ ปาเยต หรือโอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นอาวุธ
จุดนี้ “ตอกย้ำ” ชัดเจนตั้งแต่นาทีที่ 71 ซึ่งก็องเต้ ถูกเปลี่ยนลงมา “ปิดเกม” แทนที่ปาเยต แต่กลับเป็นว่า ความผิดพลาด 5 จังหวะซ้อนของเยอรมันทำให้ฝรั่งเศสได้ประตู 2-0 หลังก็องเต้ลงมาไม่กี่วินาที
ซึ่งนอกเหนือจาก “ซูเปอร์เซฟ” ของญอริส หรือโอกาสแบบเฉียดไป เฉี่ยวมา ไม่เป็นใจของทัพอินทรีเหล็กที่ “หน้าเป้า” อาชีพแล้ว
กิมมิช ซัดชนสามเหลี่ยมอย่างจังหลังสกอร์ 0-2 ไม่นานยัง “ขยี้” ชัดๆว่า วันนี้ไม่ใช่วันของเยอรมัน
ในแง่ “แท็คติก” ไม่ว่าจะเป็นการหันมาใช้ 4-2-3-1 และดัน โทนี่ โครส ขึ้นสูง แล้วให้ชไวนี่เป็นตัวคุมจังหวะแทน หรือการส่ง เอมเร่ ชาน ลงมาเล่นเกมแรก
ทั้งหมดไม่ได้แย่!
ไม่ใช่ “ความผิด” ร้ายแรงถึงขั้นตัดสินผลแพ้ชนะ ทว่าเป็น “จังหวะเกม” ที่ไม่ใช่วันของเยอรมันมากกว่า
เพิ่มเติม คือ ผม “แอบมอง” เพียงว่า นักเตะเยอรมันอาจจะมุ่งมั่น เกร็ง หรือกดดันว่าจะได้ๆๆๆ ประตูมากไป จนเกิดข้อผิดพลาด หรือกลายเป็นเร่งไปบ้าง อะไรไปบ้างจนอะไรๆไม่ลงตัว
ทั้งนี้ หากมีเวลาได้กลับมาคิดย้อนสักนิด หลังค่ำคืนที่อยากลืมในมาร์กเซย์ นักเตะเยอรมันน่าจะ “เห็นภาพ”, เข้าใจ และเรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง
ถึงขนาดให้เตะกันอีกใน 48 ชั่วโมง ผมเชื่อว่า เยอรมันจะชนะ
อย่างไรก็ดีครับ เยอรมัน ยัง “ดีพอ” สำหรับเดินหน้าเป็นตัวเต็งต้นๆใน “บอลโลก 2018” อยู่ดี แต่ตอนนี้ขอหลบเลียแผลใจสักนิดก่อนครับ

