“ปฏิวัติเซเลเซา”

   

3

   

ได้อ่านงานเขียนของ Jonathan Wilson นักเขียนผู้รอบรู้ของวงการฟุตบอลเกี่ยวกับทีมชาติบราซิลแล้วก็อดพยักหน้าหงึกๆเห็นตามด้วยไม่ได้

ในความเห็นของ WIlson – ซึ่งเคยพบเจอและพูดคุยกันเป็นส่วนตัวในระหว่างไปทำข่าวฟุตบอลยูโร 2008 เจ้าตัวแนะนำตัวว่าเขาน่าจะเป็นนักเขียนฟุตบอลที่มีงานมากที่สุดในโลก ซึ่งก็จริงตามนั้น! – เขาไม่ได้รู้สึกร่วมยินดีปรีดาอะไรไปกับความสำเร็จของ “อา เซเลเซา” ในฟุตบอลโอลิมปิกที่ผ่านมา

บนความโรแมนติกลูกหนังนั้นใช่ มันคือแชมป์ที่รอคอย มันคือสิ่งเดียวที่ทีมชาติบราซิลไม่เคยประสบความสำเร็จ และมันคือชัยชนะที่เกิดขึ้นหลังจากความตกต่ำที่สุดจากความอัปยศในฟุตบอลโลก 2014 ที่นำมาสู่ความตกต่ำต่อเนื่องนับจากนั้น

และมันทำให้คนบราซิลได้ฉลองชัยชนะบนแผ่นดินตัวเองเสียที

 

 

ความรู้สึกฝั่งนี้นั้น เหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกจึงเป็นดัง “ยาทิพย์” ที่หวังว่าจะปลุกชาติที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาลูกหนัง” ให้กลับมาได้

ผมเองก็ยอมรับว่าความรู้สึกนำพาให้ตัวเองมองในแง่นี้แทบจะด้านเดียวครับ

แต่ในมุมมองของ Wilson ที่ประสบการณ์สูงเกินกว่าจะหวั่นไหวด้วยเรื่องพวกนี้ เขากลับมองว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่บราซิลควรจะภาคภูมิใจอะไรขนาดนั้น

พวกเขาจัดผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ซึ่งรวมถึงการให้เจ้าชายลูกหนังอย่าง เนย์มาร์ อยู่ในทีมชุดนี้ ทีมที่จะลงแข่งในรายการสำหรับ “เยาวชน” (อย่าลืมว่าโอลิมปิก จำกัดอายุผู้เล่นเอาไว้แค่ 23 ปี และอนุญาตให้มีผู้เล่นอายุมากกว่านี้แค่ 3 คน)

 

 

ทั้งๆที่ เนย์มาร์ ควรจะนำทัพบราซิลในศึกโคปา อเมริกา เซนเตนาริโอ รายการใหญ่ที่สุดของทวีปและเป็นรายการเกียรติยศสำคัญ เพราะหากได้แชมป์ก็จะได้รับการกล่าวถึงบนบันทึกประวัติศาสตร์สืบไป

บนเส้นทางสู้เหรียญทองของบราซิล ก็ไม่ได้มีอะไรน่าภาคภูมิใจขนาดนั้น

หลังการเสมอแอฟริกาใต้ และอิรัก จนประเทศตกอยู่ในบรรยากาศมาคุ – บราซิล มาเอาชนะเดนมาร์กได้ในเกมสุดท้าย ก่อนจะชนะ โคลอมเบีย ถล่มฮอนดูรัส และเสมอกับเยอรมนี ชุดยู-23 ที่ไม่ได้ขนเอาซูเปอร์สตาร์ระดับประเทศมาร่วมทัพด้วยแต่อย่างใด (ส่วนหนึ่งเพราะเกือบทั้งหมดเล่นในยูโร 2016 อยู่แล้ว) และต้องตัดสินกันถึงฎีกา

ชัยชนะครั้งนี้ มันเทียบไม่ได้กับความยิ่งใหญ่ของ “ดี แมนชาฟต์” ที่บุกมาฆาตกรรมลูกหนังบราซิลคาบ้านถึง 7-1 และสยบอาร์เจนติน่า กลายเป็นทีมจากยุโรปชาติแรกที่มาคว้าแชมป์โลกได้บนแผ่นดินละตินอเมริกา

 

 

ลืมการเฉลิมฉลองใหญ่ไปเสีย (Tim Vickery กูรูลูกหนังละติน บอกว่าจริงๆแล้วคนบราซิลไม่ได้คลั่งไคล้ฟุตบอลหรอก พวกเขาเสพติดชัยชนะต่างหากไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ฟุตบอลมันเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ดูเหมือนคนบราซิลจะเอาชนะชาติอื่นได้)

สิ่งที่บราซิล ควรทำมากกว่าการระเริงไปกับความสำเร็จครั้งนี้คือการ “เริ่มต้น” ใหม่ ต่อยอดจากความหวังที่ถูกจุดขึ้นจากเหรียญทองในตำนาน

วงการฟุตบอลบราซิล ยังจำเป็นต้องมีการปฏิวัติเพื่อกลับสู่จุดที่พวกเขาควรจะอยู่ให้ได้อีกครั้ง

การเข้ามาของ “ติเต้” นายใหญ่คนใหม่ คือการเลือกที่ดีครับ

 

 

อย่างน้อยมันดีกว่าการที่ CBF หรือสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล “กลัว” กับความเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนใจกลางอากาศจากที่จะนำ ติเต้ มาคุมทีมตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนต่อจากมาโน เมเนเซส และกลับหันไปหาหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ อดีตกุนซือที่เคยพาทีมคว้าแชมป์โลกปี 2002 – แชมป์ในฟุตบอลโลกที่คุณภาพต่ำที่สุดครั้งหนึ่ง และต่อจากนั้นก็กลับไปหา ดุงก้า อีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการขับรถวนเข้า “จูราสสิค พาร์ค”

ความตกต่ำของทีมชาติบราซิล มันเริ่มเห็นชัดจากตรงนั้น

ติเต้ หลังอำลาโครินเธียนส์ ทีมที่เขาทำผลงานได้ดีที่สุดด้วยการคว้าโคปา ลิเบอตาดอเรส ได้เดินทางไปทั่วยุโรป เยี่ยมชมงานของสโมสรระดับท็อปของยุโรป ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับโค้ชต่างๆ ได้เรียนรู้ในบางส่วนที่เขาควรจะได้รู้ ซึ่งสำหรับโค้ชบนแผ่นดินยุโรปมันอาจเป็นเรื่องพื้นฐานแต่สำหรับโค้ชจากประเทศที่ไม่ได้มี “พื้นฐานการศึกษาด้านลูกหนัง” มากนักอย่างบราซิล ความรู้ใหม่มันไม่ต่างอะไรจากการ “ยกเครื่อง” ชุดความคิดของเขา

 

 

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่า ติเต้ จะเป็นโค้ชที่พาบราซิล ประสบความสำเร็จได้อีกครั้งทันที เพราะฟุตบอลมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงกระพริบตา การเดินช้าเพียงชั่วครู่ก็อาจต้องใช้เวลาและพลังมหาศาลในการจะไล่ตามคนอื่นทัน

แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็น่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของขุนพลเซเลเซาบ้าง

บราซิล เดิมเป็นชนชาติที่มีพรสวรรค์ทางเกมลูกหนังอยู่แล้ว ด้วยปรัชญา Ginga ความผิดพลาดจากในอดีตที่มีการเน้นเรื่องของ “กำลัง” มากกว่า “เทคนิค” ซึ่งเป็นผลจากแนวทางหลังปี 1970 ทำให้เสน่ห์ของฟุตบอลบราซิล ลดน้อยถอยลงไป

 

 

CBF ต้องปรับแนวทางใหม่ เพื่อให้บราซิล กลับมาเป็นชาติที่เล่นฟุตบอลบนพื้นฐานของสัญชาติญาณและเทคนิคการเล่นชั้นสูง ควบคู่กับความเข้าใจในองค์ความรู้ของศาสตร์ลูกหนังสมัยใหม่

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลาครับ เป็นแผนงานระยะยาว 5-10 ปีหรืออาจจะมากกว่านั้น

แต่อย่างน้อยที่สุดหากขุนพลชุดสีทองทำผลงานได้ดีในสนาม ทุกอย่างจะราบรื่นขึ้น

และชัยชนะเหนือ เอกวาดอร์ 3-0 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเกมแรกของ ติเต้ น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเริ่มต้นครั้งใหม่