ในเลกแรกของนัดชิงชนะเลิศ การแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2016 ที่จะพบกับทีมชาติไทยในวันพุธที่จะถึงนี้ สิ่งที่อินโดนีเซียจะต้องทำเพื่อที่จะให้เกิดผลดีในการแข่งขันในเลกที่ 2
1. ต้องเล่นอย่างอดทนให้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้อินโดนีเซียสามารถเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศได้ โดยกำจัดเวียดนามในรอบรองฯนั้นก็คือความอดทน และการแข่งขันทั้งสองเลกในรอบรองฯกับเวียดนามเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความอดทนจากการโจมตีของเวียดนามโดยการใช้วิธีรับต่ำๆ เพื่อป้องกันการทำประตู มันสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ปัญหาก็คือ เกมบุกของทีมไทยนั้นหลากหลายและอันตรายกว่าเวียดนาม ดังนั้นอินโดนีเซียต้องตั้งรับอย่างอดทนและรอหาจังหวะโต้กลับให้ได้ ที่ผ่านมาในรอบรองฯอินโดนีเซียโต้กลับแบบเร่งรีบเกินไป ใช้บอลไดเร็คท์บ่อยเกินไป คู่ต่อสู้สามารถดักทางได้ง่าย และหลายครั้งอินโดนีเซียใช้ความสามารถเฉพาะตัวมากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง

ดังนั้นการที่จะพบกับทีมไทยซึ่งโดดเด่นทั้งเกมรุกและเกมรับ อินโดนีเซียควรที่จะเล่นบอลโต้กลับอย่างเป็นระบบ การโต้กลับเร็วถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ก็ควรมีประสิทธิภาพด้วย และปัญหาก็คือ เมื่อไหร่ที่ต้องการโต้กลับเร็วโดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่า ยากมากที่จะเอาชนะกองหลังไทยได้ ในการเล่นแบบตัวต่อตัว
2. ชิงความได้เปรียบในเรื่องของลูกกลางอากาศ
ในการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2016 ที่ผ่านมา ทีมไทยเพิ่งเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น โดยสองประตูนี้เสียให้กับอินโดนีเซียและเสียจากลูกโหม่งทั้งสองลูก เป็นได้ว่าทีมไทยป้องกันลูกภาคพื้นได้ดีกว่าลูกกลางอากาศ แสดงให้เห็นว่าทีมไทยสามารถเอาชนะจากลูกกลางอากาศได้ง่ายกว่าลูกภาคพื้นดินซึ่งแข็งแกร่งมาก

ดังนั้นในเกมนี้อินโดนีเซียควรจะอาศัยประโยชน์จากลูกกลางอากาศให้มากที่สุด การเล่นลูกครอสจากปีกซ้ายและขวา การเล่นโดยใช้ความเร็วและความสามารถเฉพาะตัว ก็จะอาจจะทำให้ได้ประตูจากทีมไทยได้ง่ายขึ้น
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ลูกตั้งเตะสามารถทำประตูได้ สองประตูที่ได้มาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า ลูกตั้งเตะเป็นตัวเลือกที่ดีทีสุด ที่จะทำประตูทีมไทยได้
3. จับตาย ธีรศิลป์ แดงดา และ ชนาธิป สรงกระสินธ์
นักเตะไทยนั้นอันตรายทุกตำแหน่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่สำหรับทีมไทย ในการที่จะผ่านเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศ AFF Suzuki Cup 2016 แต่จากนักเตะทั้งหมดมีอยู่ 2 คน ถือว่ามีส่วนสำคัญกับเกมมากๆก็คือ ธีรศิลป์ แดงดา และชนาธิป สรงกระสินธ์ ซึ่งเป็นผู้เล่นที่อินโดนีเซียจะต้องจับตาเป็นพิเศษ เพื่อจะลดความอันตรายของไทยลง
ธีรศิลป์ แดงดานั้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดอยู่ในขณะนี้ ทำไปแล้ว 5 ประตู และ 3 ประตูทำได้จากการยิงทีมอินโดนีเซีย ดังนั้นผู้เล่นอินโดนีเซียจะต้องจับตายธีรศิลป์เพื่อไม่ให้เขาได้มีพื้นที่เล่นได้ง่ายๆ

ขณะที่ชนาธิป ทำไปแล้ว 1 ประตู กับอีก 1 แอสซิสท์ เขาคือผู้เล่นหลักในการสร้างสรรค์เกมในยุคของซิโก้ การเคลื่อนที่อันยอดเยี่ยมของเขาทำให้เป็นการยากที่จะป้องกัน แต่คู่กองกลางตัวรับสามารถประกบผู้เล่นได้ดีในเกมที่พบกับเวียดนาม แต่หากทั้งคู่ต้องจับตามชนาธิปจะต้องมีระเบียบวินัยอย่างมาก เพราะชนาธิปนั้นสามารถอยูได้ทุกที่ ดังนั้นควรระวัง เพราะชนาธิปอาจจะใช้ยุทธวิธีที่ชาญฉลาดเมื่อเจอกับคู่ต่อไปสู้
4. ควรกลับมาลองใช้สูตร 4-2-3-1
แม้ว่าจะเล่นในบ้าน แต่อินโดนีเซียก็ควรเล่นอย่างระมัดระวัง เพราะในนัดชิงฯ คู่ต่อสู้คือทีมไทย ซึ่งเป็นทีมที่ดีสุดในอาเซียนในปัจจุบัน พบกับลูกทีมของเกียรติศักดิ์ถือว่าอันตรายมาก ดังนั้นอินโดนีเซียต้องเล่นอย่างรัดกุม ระมัดระวังไม่ให้เสียประตู ดังนั้น สูตร 4-2-3-1 แสดงให้เห็นแล้วในเกมที่พบกับเวียดนาม
การแก้ไขปัญเกมบุกของไทยโดยการสกัดกั้นกองกลางที่จะส่งบอลต่อไปให้ธีรศิลป์ แดงดา และการตัดเกมอย่างรวดเร็วจากปีกทั้งสองข้าง เพื่อไม่โดนโจมตีได้ง่าย

ดังนั้นการใช้สูตร 4-2-3-1 จะทำให้อินโดนีเซียเล่นง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องของเกมรับและเกมโต้กลับ รูปแบบนี้จึงเหมาะสมกับอินโดนีเซียในช่วงแรก แต่อยากต้องการเปิดเกมรุกก็กลับมาใช้สูตร 4-4-2 ก็ได้
5. การเล่นท่ามกลางการสนับสนุนจากแฟนๆโดยปราศจากความกดดัน
ใช้ประโยชน์จากการเล่นในบ้านต่อหน้าแฟนๆหลายหมื่นคน การสนับสนุนจากแฟนๆในเกมรอบรองฯที่พบกับเวียดนามจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หรืออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ดังนั้น ผู้เล่นอินโดนีเซียจะต้องใช้ความกดดันให้เป็นประโยชน์ในการพบกับทีมไทย การที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้เล่นที่แข็งแกร่งอย่างทีมไทยนั้น ไม่เพียงแต่ปัจจัยทางด้านเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปัจจัยทางด้านการสนับสนุนของกองเชียร์ด้วย ซึ่งมันสามารถทำให้ส่งผลทางบวกสำหรับอินโดนีเซียได้
ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ผู้เล่นทั้ง 11 คนของอินโดนีเซียเล่นอย่างผ่อนคลาย ไม่กดดัน ซึ่งจะทำให้อินโดนีเซียสามารถกำชัยชนะเอาไว้ได้

