ทีมชาติอังกฤษชุดที่ไม่ต้องการ “ศิลปะมืด”

   

17

   

เมื่อตอนต้นเดือน เมษายนที่ผ่านมาตอน อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ารับงานคุมสโมสรเชลซี อย่างเป็นทางการขณะที่ “คาบเกี่ยว” กับการทำทีมชาติอิตาลี สู้ศึก “ยูโร 2016” รอบสุดท้าย ผมเคยเขียนไปแล้วว่า นี่คือ “เคสพิเศษ”

ความพิเศษมันอยู่ตรงที่ คอนเต้ ทำงานทันทีในรูปแบบที่ใช้การ “วางแผน” และขอความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องสโมสรฯตั้งแต่ผู้บริหาร ยันนักเตะให้ร่วมด้วยกัน

ครับ นี่คือ สิ่งดีงามเลยก็ว่าได้ ผมอยากจะใช้คำนั้น เพราะในทาง “ปฏิบัติ” มันยากมากถึงมากที่สุด ณ จุดที่เรียกว่า ส่งมอบงาน/รับมอบงาน

เพราะกุส ฮิดดิ้งค์ กับสโมสรฯในฐานะคนส่งมอบงานก็จะ “กั๊กๆ” ปฏิบัติตัวไม่ถูก

   

18

   

ขณะที่ คอนเต้ ในฐานะผู้รับมอบงานก็ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน แถมในเคสนี้ยังมี“งานเก่า” ขนาดยักษ์รออยู่ที่ฝรั่งเศส ซัมเมอร์นี้อีกต่างหาก

ดังนั้น ทันทีที่ผมทราบข่าวว่า คอนเต้ มีนัดมีตติ้งกับฝ่ายบริหาร เพื่อหารือถึงอนาคต และนักเตะเชลซีชุดปัจจุบัน เพื่อพูดคุยแนวทางการทำงาน

ผมจึง “ชอบมาก”

และแนะนำเลยครับว่า หากทีมอื่นๆทำได้แบบนี้จะดีมาก ทว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับความ “ทุ่มเท” ของทุกๆฝ่ายด้วยเช่นกัน

เพราะกรณีนี้ คอนเต้ ไม่จำเป็นต้อง “ลงทุน” ทำขนาดนี้ก็ได้

   

19

   

ข้างต้น คือ “ตัวอย่างที่ดี” ในการวางแผนบริหารจัดการทีมของกุนซือ เพราะคอนเต้คงรอให้จบ “ยูโร 2016” วันที่ 10 ก.ค.ไม่ได้แน่

อีก “เคสพิเศษ” ที่เหมือนกับไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้วจัดว่า เก็บรายละเอียดได้ดีก็คือ รอย ฮอดจ์สัน กับการประทับตราคำสั่งให้ อาร์เซนอล กับเจมี่ วาร์ดี้ “จบดีล” ก่อนศึก “ยูโร 2016” จะเริ่มต้น

อังกฤษ มีคิวปะทะรัสเซีย วันเสาร์ที่ 12 มิ.ย.นั่นจึงหมายความว่า อาร์เซน เวนเกอร์ และอาร์เซนอล มีเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการ “ฉีกสัญญา” 20 ล้านปอนด์ ของวาร์ดี้ ให้ขาดวิ่น

ผมเองอาจใกล้ชิดแหล่งข่าว “สื่อผู้ดี” จึงไม่ค่อยทราบดีลอื่นๆของทีมชาติอื่นๆในลีกอื่นๆ แต่เอาเป็นว่า กรณีวาร์ดี้นี้ ฮอดจ์สัน แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า เค้าเป็น “กุนซือละเอียด” ขนาดไหน

ทั้งนี้ มันคง “ไม่เวิร์ก” กับทุกๆฝ่าย หากเรื่องจะคาราคาซัง เลยเถิดเข้าสู่ทัวร์นาเมนท์ที่ฝรั่งเศส

   

20

   

สภาพจิตใจของ วาร์ดี้ คงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว, ความทุ่มเทอาจมีลังเล เพราะเกรงจะบาดเจ็บอันมีผลต่อการย้ายทีม

ไหนจะ “ภรรยา” ยังมาโดนหางเลข ถล่มเฟสบุ๊คเข้าไปอีกโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ฯลฯ

เมื่อเป็นดังนี้ จึง “ชัดเจน” และแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า “ปู่รอย” คิดเยอะสมกับประสบการณ์วัย 68 ปีเพียงใด

นอกจากข่าวดังกล่าวจากแคมป์ผู้ดี ฮอดจ์สัน ยังตกเป็นข่าวในประเด็น จะไม่ให้อังกฤษเล่นละครตบตา (Cheating) หรือฉายแวว “ศิลปะมืด” (Dark Art) ออกมา

พร้อมกันนี้ก็ยกตัวที่ แฮร์รี่ เคน โดน “สกายคิก” ของบรูโน่ อัลเวส เซนเตอร์ฮาล์ฟโปรตุเกส เต็มกบาล แต่ยังวิ่งต่อโดยไม่เสแสร้งว่าเจ็บ หรือแกล้งเล่นละครจะเรียกใบแดงให้คู่แข่งโดนไล่ออก

   

21

   

ทั้งที่ “โดนเต็มๆ” เจ็บจริง ไรจริง

รวมถึงเน้นในความเป็น “สุภาพบุรุษ” ที่ฮอดจ์สันใช้คำว่า “being English” หรือความเป็นอังกฤษ ที่จะไม่เล่นละครพุ่งล้ม หรือแกล้งเจ็บ

เรียกได้ว่า หากจะเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์แรกในรอบ 50 ปีหลังจากบอลโลก 1966 อังกฤษไม่จำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ Dark Art มาใช้

ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบใคร หรือพยายามฝึก “ศิลปะมืด” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ เพื่อที่จะเป็นแชมป์ยูโร

เพราะอังกฤษ คือ อังกฤษที่มีดีกว่านั้น

   

22

   

เรื่องแบบนี้ รวมกับ “เคสวาร์ดี้” ผมมองว่า “สำคัญมาก” ในการที่กุนซือจะต้องสะท้อนสิ่งที่ตัวเค้าต้องการนอกเหนือการฝึก การแก้เกมตาม “โปรแกรม” ในสนามซ้อมออกไปสู่ทีม

ฟุตบอลไม่ได้มีแค่ซ้อมมื้อเช้า หรือมื้อเย็น

แต่มันคือ ชั่วโมงทำงานนอกเหนือจากเวลาซ้อมด้วยเช่นกัน รวมไปถึงการ “มอบสำนึก” ให้กับผู้เล่นได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตัวเองทั้งใน และนอกสนาม

ว่า “พฤติกรรม” ไหน หรือความประพฤติใด เป็นนโยบายของทีม และเป็นสิ่งที่ผู้คนคาดหวัง

นอกเหนือ “เป้าหมาย” ในสนามเพื่อความเป็นเลิศก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์ยูโร 2016